วันศุกร์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2556
วันเสาร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2556
alligator กับ crocodile ต่างกันอย่างไร
ความเหมือนที่แตกต่างระหว่าง Crocodile และ Alligator
มีความหมายที่เหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร หลายคนบอกว่า 2
คำนี้มีความหมาย
เดียวกันคือหมายถึง จระเข้ แต่บางคนบอกว่า alligator
นั้นหมายถึงจระเข้ขนาดเล็ก
ส่วน crocodile นั้นหมายถึงจระเข้ขนาดใหญ่
คำพูดที่กล่าวมาข้างต้นจริงเท็จแค่ไหน
บทความเรื่องนี้คงสามารถไขข้อข้องใจของหลายคนได้
จากการค้นคว้าข้อมูลในเว็บไซต์ต่างๆเรื่องเกี่ยวกับ crocodile และ alligator
พบว่าอันที่จริงแล้วสัตว์ 2 ชนิดนี้จัดอยู่ในไฟลัมเดียวกันคือ ไฟลัมคอร์ดาตา (
Phylum Chordata) คลาสเรปทิเลีย (Class Reptilia) แต่มีวงศ์ (Family) ที่ต่างกัน
โดย crocodile จัดอยู่ใน Family Crocodylidae ในขณะที่ alligator จัดอยู่ใน
Family Alligatoridae ทั้ง crocodile และ alligator เป็นสัตว์เลือดเย็นที่มีอุณหภูมิ
ของร่างกายไม่คงที่คือจะเปลี่ยนแปลงไปตาม อุณหภูมิของสภาพแวดล้อม
นี่เป็นเหตุผลที่ว่าทั้ง crocodile และ alligator มักอาศัยอยู่ตามบึงหรือแหล่งน้ำ
ที่มีอุณภูมิเฉลี่ยประมาณ 27 องศาเซลเซียสเพราะอุณหภูมิดังกล่าวจะทำให้
มันสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างเหมาะสม จากการสำรวจพบว่า crocodile
ส่วนใหญ่มักอาศัยอยู่ทางตอนใต้ของทวีปอเมริกา ทวีปแอฟริกาและทวีปเอเชีย
ซึ่ง crocodile ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดได้แก่ crocodile สายพันธุ์ที่อาศัยอยู่ใน
แหล่งน้ำเค็ม โดยวัดขนาดความยาวลำตัวได้ 9 เมตรและมีน้ำหนักตัวมากถึง
1 ตันเลยทีเดียว ในขณะที่ alligator ส่วนใหญ่มักอาศัยอยู่ทางตอนเหนือ
ของทวีปอเมริกาตั้งแต่รัฐ Carolina ไปจนถึงรัฐ Texas โดยเฉลี่ยแล้ว alligator
จะมีขนาดลำตัวเล็กกว่า crocodile คือมีความยาวลำตัวเฉลี่ย 4.5 เมตรแต่ทั้ง
alligator และ crocodile นั้นมีอายุเฉลี่ยนานถึง 50 ปีเลยทีเดียว
หากจะกล่าวถึงลักษณะทางกายภาพของทั้ง crocodile และ alligator
นั้น อาจสรุปได้เป็น 2 ประเด็นคือมีทั้งความเหมือนและความแตกต่าง เช่น ทั้ง
crocodile และ alligator จะมีพังพืดที่เท้าซึ่งมีส่วนช่วยให้พวกมันว่ายน้ำได้ดี
ประกอบกับผิวหนังที่มีลักษณะเป็นลายตารางที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับ
เสื้อเกราะและตำแหน่ง ของตาและรูจมูกที่ค่อนไปทางส่วนบนของหัวช่วยให้
พวกมันสามารถล่าเหยื่อได้ อย่างมีประสิทธิภาพในเวลากลางคืน นอกจากนั้น
พวกมันยังมีอวัยวะรับสัมผัสที่มีความไวต่อเสียงและแรงสั่นสะเทือน ใต้น้ำอีกด้วย
หากกล่าวถึงเรื่องของอวัยวะรับสัมผัส ทั้ง crocodile และ alligator มีตุ่มรับ
สัมผัสขนาดเล็กอยู่บริเวณรอบขากรรไกรทั้งด้านบนและด้านล่าง ซึ่งถ้ามองเข้า
ไปใกล้ๆจะพบว่าตุ่มรับสัมผัสเหล่านี้มีลักษณะคล้ายตอบนผิว หนังของคนที่เพิ่ง
โกนหนวดเสร็จใหม่ๆ ตุ่มรับสัมผัสเหล่านี้ทำหน้าที่ในการตรวจสอบแรงสั่นสะเทือน
ใต้น้ำเพื่อบอก ให้ทราบถึงตำแหน่งของเหยื่อได้อย่างแม่นยำ โดยปกตินักวิทยาศาสตร์
เรียกตุ่มรับสัมผัสเหล่านี้ว่า ISOsซึ่งมาจากคำว่า Integumentary Sense Organs
หมายถึงอวัยวะรับสัมผัสที่ปกคลุมอยู่บนผิวหนังทั่วร่างกาย แต่ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อ
ใหม่เป็น DPRsซึ่งมาจากคำว่า Dermal Pressure Receptor หมายถึง ปลายประสาท
รับสัมผัสและแรงกดดันบริเวณชั้นผิวหนัง แต่จากการสำรวจพบว่า crocodile
จะมีปลายประสาทรับสัมผัสเหล่านี้กระจายอยู่บนชั้นผิวหนังทั่วลำตัวผิดกับ alligator
ซึ่งจะพบปลายประสาทรับสัมผัสนี้เฉพาะบริเวณรอบขากรรไกรเท่านั้น
เราอาจคาดไม่ถึงว่าความแตกต่างจุดนี้เป็นประโยชน์มากเวลาที่ต้องการทราบว่า
ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากหนังจระเข้ของท่านไม่ว่าจะเป็นกระเป๋าหรือรองเท้า ชิ้นใดทำมาจาก
หนังของ crocodile และชิ้นใดที่ทำมาจากหนังของ alligator โดยสังเกตว่าหากพบ
จุดดำอยู่บนหนังจระเข้นั่นแสดงว่าผลิตภัณฑ์ดังกล่าวทำมา จากหนังของ crocodile
อย่างแน่นอน
จากการค้นคว้าข้อมูลในเว็บไซต์ต่างๆเรื่องเกี่ยวกับ crocodile และ alligator
พบว่าอันที่จริงแล้วสัตว์ 2 ชนิดนี้จัดอยู่ในไฟลัมเดียวกันคือ ไฟลัมคอร์ดาตา (
Phylum Chordata) คลาสเรปทิเลีย (Class Reptilia) แต่มีวงศ์ (Family) ที่ต่างกัน
โดย crocodile จัดอยู่ใน Family Crocodylidae ในขณะที่ alligator จัดอยู่ใน
Family Alligatoridae ทั้ง crocodile และ alligator เป็นสัตว์เลือดเย็นที่มีอุณหภูมิ
ของร่างกายไม่คงที่คือจะเปลี่ยนแปลงไปตาม อุณหภูมิของสภาพแวดล้อม
นี่เป็นเหตุผลที่ว่าทั้ง crocodile และ alligator มักอาศัยอยู่ตามบึงหรือแหล่งน้ำ
ที่มีอุณภูมิเฉลี่ยประมาณ 27 องศาเซลเซียสเพราะอุณหภูมิดังกล่าวจะทำให้
มันสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างเหมาะสม จากการสำรวจพบว่า crocodile
ส่วนใหญ่มักอาศัยอยู่ทางตอนใต้ของทวีปอเมริกา ทวีปแอฟริกาและทวีปเอเชีย
ซึ่ง crocodile ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดได้แก่ crocodile สายพันธุ์ที่อาศัยอยู่ใน
แหล่งน้ำเค็ม โดยวัดขนาดความยาวลำตัวได้ 9 เมตรและมีน้ำหนักตัวมากถึง
1 ตันเลยทีเดียว ในขณะที่ alligator ส่วนใหญ่มักอาศัยอยู่ทางตอนเหนือ
ของทวีปอเมริกาตั้งแต่รัฐ Carolina ไปจนถึงรัฐ Texas โดยเฉลี่ยแล้ว alligator
จะมีขนาดลำตัวเล็กกว่า crocodile คือมีความยาวลำตัวเฉลี่ย 4.5 เมตรแต่ทั้ง
alligator และ crocodile นั้นมีอายุเฉลี่ยนานถึง 50 ปีเลยทีเดียว
หากจะกล่าวถึงลักษณะทางกายภาพของทั้ง crocodile และ alligator
นั้น อาจสรุปได้เป็น 2 ประเด็นคือมีทั้งความเหมือนและความแตกต่าง เช่น ทั้ง
crocodile และ alligator จะมีพังพืดที่เท้าซึ่งมีส่วนช่วยให้พวกมันว่ายน้ำได้ดี
ประกอบกับผิวหนังที่มีลักษณะเป็นลายตารางที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับ
เสื้อเกราะและตำแหน่ง ของตาและรูจมูกที่ค่อนไปทางส่วนบนของหัวช่วยให้
พวกมันสามารถล่าเหยื่อได้ อย่างมีประสิทธิภาพในเวลากลางคืน นอกจากนั้น
พวกมันยังมีอวัยวะรับสัมผัสที่มีความไวต่อเสียงและแรงสั่นสะเทือน ใต้น้ำอีกด้วย
หากกล่าวถึงเรื่องของอวัยวะรับสัมผัส ทั้ง crocodile และ alligator มีตุ่มรับ
สัมผัสขนาดเล็กอยู่บริเวณรอบขากรรไกรทั้งด้านบนและด้านล่าง ซึ่งถ้ามองเข้า
ไปใกล้ๆจะพบว่าตุ่มรับสัมผัสเหล่านี้มีลักษณะคล้ายตอบนผิว หนังของคนที่เพิ่ง
โกนหนวดเสร็จใหม่ๆ ตุ่มรับสัมผัสเหล่านี้ทำหน้าที่ในการตรวจสอบแรงสั่นสะเทือน
ใต้น้ำเพื่อบอก ให้ทราบถึงตำแหน่งของเหยื่อได้อย่างแม่นยำ โดยปกตินักวิทยาศาสตร์
เรียกตุ่มรับสัมผัสเหล่านี้ว่า ISOsซึ่งมาจากคำว่า Integumentary Sense Organs
หมายถึงอวัยวะรับสัมผัสที่ปกคลุมอยู่บนผิวหนังทั่วร่างกาย แต่ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อ
ใหม่เป็น DPRsซึ่งมาจากคำว่า Dermal Pressure Receptor หมายถึง ปลายประสาท
รับสัมผัสและแรงกดดันบริเวณชั้นผิวหนัง แต่จากการสำรวจพบว่า crocodile
จะมีปลายประสาทรับสัมผัสเหล่านี้กระจายอยู่บนชั้นผิวหนังทั่วลำตัวผิดกับ alligator
ซึ่งจะพบปลายประสาทรับสัมผัสนี้เฉพาะบริเวณรอบขากรรไกรเท่านั้น
เราอาจคาดไม่ถึงว่าความแตกต่างจุดนี้เป็นประโยชน์มากเวลาที่ต้องการทราบว่า
ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากหนังจระเข้ของท่านไม่ว่าจะเป็นกระเป๋าหรือรองเท้า ชิ้นใดทำมาจาก
หนังของ crocodile และชิ้นใดที่ทำมาจากหนังของ alligator โดยสังเกตว่าหากพบ
จุดดำอยู่บนหนังจระเข้นั่นแสดงว่าผลิตภัณฑ์ดังกล่าวทำมา จากหนังของ crocodile
อย่างแน่นอน
ซ้าย : หนังของ crocodile : ที่มาhttp://www.flmnh.ufl.edu/cnhc/images/!cbd-faq-q1k.jpg |
หนังของ alligator : ที่มา http://www.flmnh.ufl.edu/cnhc/images/!cbd-faq-q1j.jpg |
ส่วนความแตกต่างทางกายภาพอื่นๆระหว่าง
alligator และ crocodile
คือลักษณะของปากและขากรรไกรโดยปากของ alligator จะมีลักษณะกว้าง
คล้ายรูปตัว U ในขณะที่ crocodile จะมีลักษณะปากที่ยาวกว่าคล้ายรูปตัว V
ซึ่งลักษณะดังกล่าวถูกออกแบบมาให้เหมาะสมกับชนิดของเหยื่อที่พวกมันกิน
คือลักษณะของปากและขากรรไกรโดยปากของ alligator จะมีลักษณะกว้าง
คล้ายรูปตัว U ในขณะที่ crocodile จะมีลักษณะปากที่ยาวกว่าคล้ายรูปตัว V
ซึ่งลักษณะดังกล่าวถูกออกแบบมาให้เหมาะสมกับชนิดของเหยื่อที่พวกมันกิน
ลักษณะของปาก
ซ้าย : ปากของ alligator http://images.jupiterimages.com/common/detail/49/95/23359549.jpg
ขวา : ปากของ crocodile https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj2-yrw1kQyjJ_c8Xl278MGU6XhXJXo_mryVU7wGjDONMWd9zWRu1V04a2odl46erpyD8xf22AD2lKA3AfLJEJmgGtAHCjqsTFewO_0TUCLye1t6FMf7Rmp9j0OH6LbuUjXf3Sf5VfL-S7b/s400/IMGP0423.JPG
เนื่องจากเหยื่อส่วนใหญ่ของ alligator จะเป็นสัตว์ขนาดเล็กเช่น เต่า หอย
และปลา ปากของมันจึงออกแบบมาให้สามารถรับแรงกดได้เวลาที่มันต้องใช้ปากเพื่อ
แกะหรือ เปิดเปลือกหอยและกระดองเต่า ผิดกับ crocodile ที่เหยื่อส่วนใหญ่ของพวกมัน
จะเป็นสัตว์ที่มีทั้งขนาดเล็กไปจนถึงสัตว์เลี้ยง ลูกด้วยน้ำนมขนาดใหญ่ ทำให้ปากของ
มันถูกออกแบบมาให้มีความแข็งแรงและออกแรงกัดได้มากเป็นพิเศษ นอกจากนั้น
ลักษณะฟันของ alligator และ crocodile ก็มีความแตกต่างกัน ใน alligator เราจะ
สังเกตเห็นว่าฟันด้านบนจะมีลักษณะกว้างกว่าฟันด้านล่าง ทำให้เวลาที่มันปิดปาก
ลักษณะของฟันจะคร่อมกันอยู่โดยฟันบนจะครอบทับฟันล่างจนสนิท หรือแม้กระทั่ง
ฟันซี่ที่ 4 ที่ปกติมีลักษณะใหญ่กว่าฟันซี่อื่นก็ถูกครอบจนสนิทด้วยเช่นกันดังภาพ A
ส่วน crocodile นั้นฟันด้านบนและด้านล่างจะมีความกว้างที่ใกล้เคียงกันมากทำให้
เวลาที่มัน เปิดปากจะเห็นว่าฟันด้านล่างและด้านบนจะประสานกันพอดีจะมีก็แต่ฟันซี่
ที่ 4 ซึ่งมีลักษณะใหญ่กว่าฟันซี่อื่นที่จะมีลักษณะยื่นออกมาด้านบนดังภาพ B
ขวา : ปากของ crocodile https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj2-yrw1kQyjJ_c8Xl278MGU6XhXJXo_mryVU7wGjDONMWd9zWRu1V04a2odl46erpyD8xf22AD2lKA3AfLJEJmgGtAHCjqsTFewO_0TUCLye1t6FMf7Rmp9j0OH6LbuUjXf3Sf5VfL-S7b/s400/IMGP0423.JPG
เนื่องจากเหยื่อส่วนใหญ่ของ alligator จะเป็นสัตว์ขนาดเล็กเช่น เต่า หอย
และปลา ปากของมันจึงออกแบบมาให้สามารถรับแรงกดได้เวลาที่มันต้องใช้ปากเพื่อ
แกะหรือ เปิดเปลือกหอยและกระดองเต่า ผิดกับ crocodile ที่เหยื่อส่วนใหญ่ของพวกมัน
จะเป็นสัตว์ที่มีทั้งขนาดเล็กไปจนถึงสัตว์เลี้ยง ลูกด้วยน้ำนมขนาดใหญ่ ทำให้ปากของ
มันถูกออกแบบมาให้มีความแข็งแรงและออกแรงกัดได้มากเป็นพิเศษ นอกจากนั้น
ลักษณะฟันของ alligator และ crocodile ก็มีความแตกต่างกัน ใน alligator เราจะ
สังเกตเห็นว่าฟันด้านบนจะมีลักษณะกว้างกว่าฟันด้านล่าง ทำให้เวลาที่มันปิดปาก
ลักษณะของฟันจะคร่อมกันอยู่โดยฟันบนจะครอบทับฟันล่างจนสนิท หรือแม้กระทั่ง
ฟันซี่ที่ 4 ที่ปกติมีลักษณะใหญ่กว่าฟันซี่อื่นก็ถูกครอบจนสนิทด้วยเช่นกันดังภาพ A
ส่วน crocodile นั้นฟันด้านบนและด้านล่างจะมีความกว้างที่ใกล้เคียงกันมากทำให้
เวลาที่มัน เปิดปากจะเห็นว่าฟันด้านล่างและด้านบนจะประสานกันพอดีจะมีก็แต่ฟันซี่
ที่ 4 ซึ่งมีลักษณะใหญ่กว่าฟันซี่อื่นที่จะมีลักษณะยื่นออกมาด้านบนดังภาพ B
ความแตกต่างทางกายภาพอีกอย่างหนึ่งคือ crocodile
จะมีลำตัวเป็น
สีเหลืองอมเทา ในขณะที่ alligator จะมีลำตัวเป็นสีดำอมน้ำตาล
alligator
ส่วนใหญ่อาศัยในแหล่งน้ำจืด ในขณะที่ crocodile
ชอบอาศัยในแหล่งน้ำกร่อย
หรือแหล่งน้ำเค็มเช่นบริเวณป่าชายเลนและทะเล
ซึ่งความแตกต่างเรื่องถิ่น
อาศัยนี้สามารถเชื่อมโยงได้กับเรื่องของต่อมขับ
เกลือ
Crocodile : ที่มา http://www.freewebs.com/ppinpg/mother.jpg |
ขวา alligator ที่มา http://www.worldofstock.com/slides/NAN4718.jpg |
อันที่จริงแล้วทั้ง crocodile และ alligator
ต่างก็มีต่อมขับเกลืออยู่
บริเวณลิ้นซึ่ง crocodile
ยังคงใช้ต่อมดังกล่าวช่วยขับเกลือออกจากร่างกายแต่ดู
เหมือนว่าต่อมขับเกลือ
ใน alligator นั้นไม่สามารถทำหน้าที่นี้ได้แล้ว
และนี่ก็เป็น
คำตอบได้ดีว่าเหตุใด crocodile
จึงสามารถดำรงชีวิตอยู่ในแหล่งน้ำกร่อยได้ดีกว่า
alligator
นักวิทยาศาสตร์บางท่านเชื่อว่าอาจเป็นเพราะ crocodile
มีบรรพบุรุษ
เคยอาศัยอยู่ในทะเลมาก่อนจึงทำให้ต่อมขับเกลือของ crocodile
ในรุ่นปัจจุบัน
ยังสามารถที่ทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์
จากการเปรียบเทียบที่ผ่านมาส่วนใหญ่จะเป็นการสังเกตลักษณะจากภายนอก
แต่หากจะกล่าวถึงเรื่องของพฤติกรรมนั้น คนส่วนใหญ่มักคิดว่า crocodile
มีความ
ก้าวร้าวมากกว่า alligator ความคิดนี้ถูกสำหรับ crocodile
บางสายพันธุ์เท่านั้น โดย
นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่า crocodile
สายพันธุ์ที่อาศัยอยู่ในแหล่งน้ำเค็มส่วนใหญ่จะมี
ความก้าวร้าวมากกว่า
alligator เพราะ alligator ส่วนใหญ่ไม่มีนิสัยก้าวร้าว
เว้นเสีย
แต่ว่ามันจะรู้สึกว่าถูกรบกวนหรือถูกบุกรุกอาณาเขต ซึ่งผิดกับ
crocodile ที่มีนิสัย
ก้าวร้าวกว่า พวกมันสามารถฆ่ามนุษย์ได้
เพียงแค่มนุษย์คนนั้นอยู่ผิดที่ผิดทาง
เพราะ crocodile
ส่วนใหญ่จะมีอาณาเขตของตัวเองซึ่งหากมีผู้บุกรุกเข้ามาเมื่อไหร่
พวกมันจะโจมตีทันที โดยเฉพาะ crocodile ที่อาศัยอยู่บริเวณแม่น้ำไนท์
มีรายงานว่า
พวกมันทำร้ายมนุษย์จนเสียชีวิตทุกปี
ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยพยายามอย่าเข้าใกล้
ทั้ง crocodile และ alligator
จะดีที่สุด
อ้างอิง
- Alligator and Crocodile – Reptile (online) Available : www.mcwdn.org/Animals/AliCroc.html
- Alligator vs. Crocodile – Animal planet (online) Available : http://animal.discovery.com/convergence/safari/crocs/expert/expert7.html
- The Crocodile and Alligator – Genesis park (online) Available : www.genesispark.org/genpark/croc/croc.html
- The difference between alligators and crocodiles – essortment information and advice you want to know (online) Available : http://www.essortment.com/differencebetwe_rnnj.html
- What’s the difference between a crocodile and an alligator? - Crocodilian Biology Database (online) Available : www.flmnh.ufl.edu/cnhc/cbd-faq-q1.html
- What is the difference between a crocodile and an alligator? – wise Geek (online) Available :http://www.wisegeek.com/what-is-the-difference-between-a-crocodile-and-an-alligator.html
- White Alligator and crocodile – Animal scoop (online) Available : www.billybear4kids.com/animal/whose-toes/toes7a.html
นกฮูกกับนกเค้าแมวความต่างกันอย่างไร
นกฮูกกับนกเค้าแมวไม่
มีความต่างกันเพราะเป็นนกชนิดเดียวกัน คือวงศ์ของนกเค้า
สาเหตุที่เรียกว่านกฮูกซึ่งเป็นชื่อของชาวบ้านตั้ง
คงเพราะชาวบ้านเรียกตามเสียงที่มันร้องว่า 'คุก ๆ ฮูก'
โดยชื่อทางการของนกฮูก คือ นกเค้าแมว
นกฮูกหรือนกเค้าแมว เป็นนกตระกูลหนึ่งที่กินเนื้อเป็นอาหารมีอยู่ ๑๓๔ ชนิดทั่วโลก โดยจะพบได้ในทุกส่วนของโลก ยกเว้นในแถบขั้วโลกใต้และเกาะในมหาสมุทรบางแห่ง เป็นนกที่ชอบหากินในเวลากลางคืน ฉะนั้นจึงมีระบบตาและหูที่ดีเป็นพิเศษเหนือกว่านกชนิดอื่น โดยมีดวงตาใหญ่ตั้งอยู่ด้านหน้าของศีรษะ รอบ ๆ ตามีขนซึ่งเรียงออกไปเหมือนจานกลม ๆ ใบใหญ่ ตาของมันใช้ชำเลืองดูไปมารอบ ๆ เหมือนตาคน หรือตาสัตว์อื่น ๆ ไม่ได้ ดังนั้นหากต้องการจะดูอะไร นกชนิดนี้จึงต้องหันหน้าตรงไปด้วยจึงจะมองเห็น คอมีขนปกคลุมหนาจึงดูเหมือนเป็นนกคอสั้น แต่ความจริงคอของมันยาวพอที่จะหันหัวไปข้างหลังได้อย่างสบาย ๆ มีหูที่ดีมาก แต่หูทั้งสองข้างโตไม่เท่ากัน จึงทำให้มันรู้ว่าเสียงนั้นมาจากทางไหนได้ดีกว่าสัตว์อื่น ๆ ดังนั้นนกเค้าแมวจึงสามารถจับเหยื่อได้ในที่มืดสนิท โดยโฉบเอาตามเสียง ประกอบกับขนของนกเค้าแมวส่วนมากอ่อนนุ่ม ปลายขนก็อ่อนเป็นพิเศษ ทำให้บินได้เงียบมาก
ไข่ของนกเค้าแมวโดยมากเป็นสีขาว และค่อนข้างกลม ในประเทศไทยนกชนิดนี้มักวางไข่เพียง ๒-๓ ฟอง แต่ในเมืองหนาวจะวางไข่มากฟองกว่า การวางไข่ไม่ได้วางพร้อม ๆ กันวันเดียว แต่วางไข่ห่างวันกันมาก แม่นกจะเริ่มกกไข่ตั้งแต่วางไข่ฟองแรก ฉะนั้นในรังหนึ่ง ๆ จึงมีลูกนกขนาดใหญ่เล็กผิดกันมาก
นกเค้าแมวเป็นนกที่ทำประโยชน์ให้แก่ชาวนามาก เพราะมันชอบกินหนู บางชนิดก็ทำลายตั๊กแตนและแมลงต่าง ๆ ซึ่งเป็นศัตรูของพืช
เหตุ ที่คนกลัวนกเค้าแมว นกฮูก หรือนกแสกซึ่งเป็นนกในวงศ์เดียวกันนี้ ก็เพราะนกเหล่านี้ออกหากินในเวลากลางคืน โดยเฉพาะนกเค้าแมวที่เราเรียกกันว่านกแสกนั้น เมื่อเอาไฟส่องดูมันในเวลากลางคืนจะเห็นวงหน้าน่ากลัวคล้ายหน้าปิศาจที่ เดียว
ประเทศไทยมีนกตระกูลเค้าอยู่ ๑๙ ชนิด คือ
๑. นกแสก
๒. นกแสกแดง
๓. นกเค้าเหยี่ยว
๔. นกเค้าหน้าผากขาว
๕. นกเค้าแดง
๖. นกเค้าภูเขาหูยาว
๗. นกเค้าหูยาวเล็ก
๘. นกเค้ากู่
๙. นกเค้าแคระ
๑๐. นกเค้าโมง
๑๑. นกเค้าจุด
๑๒. นกเค้าป่าหลังจุด
๑๓. นกเค้าป่าสีน้ำตาล
๑๔. นกเค้าแมวหูสั้น
๑๕. นกเค้าใหญ่พันธุ์เนปาล
๑๖. นกเค้าใหญ่พันธุ์สุมาตรา
๑๗. นกเค้าใหญ่สีคล้ำ
๑๘. นกทึดทือพันธุ์เหนือ
๑๙. นกทึดทือมลายู
นกเหล่านี้แม้จะมีชื่อเรียกต่าง ๆ กัน แต่รูปร่างหน้าตาของมันเมื่อดูผิวเผินจะเหมือนกันทั้งสิ้น
ภาพจาก อินเทอร์เน็ต ข้อมูลโดย จากหนังสือ ๑๐๘ ซองคำถาม สำนักพิมพ์สารคดีจาก http://www.thailantern.com
นกฮูกหรือนกเค้าแมว เป็นนกตระกูลหนึ่งที่กินเนื้อเป็นอาหารมีอยู่ ๑๓๔ ชนิดทั่วโลก โดยจะพบได้ในทุกส่วนของโลก ยกเว้นในแถบขั้วโลกใต้และเกาะในมหาสมุทรบางแห่ง เป็นนกที่ชอบหากินในเวลากลางคืน ฉะนั้นจึงมีระบบตาและหูที่ดีเป็นพิเศษเหนือกว่านกชนิดอื่น โดยมีดวงตาใหญ่ตั้งอยู่ด้านหน้าของศีรษะ รอบ ๆ ตามีขนซึ่งเรียงออกไปเหมือนจานกลม ๆ ใบใหญ่ ตาของมันใช้ชำเลืองดูไปมารอบ ๆ เหมือนตาคน หรือตาสัตว์อื่น ๆ ไม่ได้ ดังนั้นหากต้องการจะดูอะไร นกชนิดนี้จึงต้องหันหน้าตรงไปด้วยจึงจะมองเห็น คอมีขนปกคลุมหนาจึงดูเหมือนเป็นนกคอสั้น แต่ความจริงคอของมันยาวพอที่จะหันหัวไปข้างหลังได้อย่างสบาย ๆ มีหูที่ดีมาก แต่หูทั้งสองข้างโตไม่เท่ากัน จึงทำให้มันรู้ว่าเสียงนั้นมาจากทางไหนได้ดีกว่าสัตว์อื่น ๆ ดังนั้นนกเค้าแมวจึงสามารถจับเหยื่อได้ในที่มืดสนิท โดยโฉบเอาตามเสียง ประกอบกับขนของนกเค้าแมวส่วนมากอ่อนนุ่ม ปลายขนก็อ่อนเป็นพิเศษ ทำให้บินได้เงียบมาก
ไข่ของนกเค้าแมวโดยมากเป็นสีขาว และค่อนข้างกลม ในประเทศไทยนกชนิดนี้มักวางไข่เพียง ๒-๓ ฟอง แต่ในเมืองหนาวจะวางไข่มากฟองกว่า การวางไข่ไม่ได้วางพร้อม ๆ กันวันเดียว แต่วางไข่ห่างวันกันมาก แม่นกจะเริ่มกกไข่ตั้งแต่วางไข่ฟองแรก ฉะนั้นในรังหนึ่ง ๆ จึงมีลูกนกขนาดใหญ่เล็กผิดกันมาก
นกเค้าแมวเป็นนกที่ทำประโยชน์ให้แก่ชาวนามาก เพราะมันชอบกินหนู บางชนิดก็ทำลายตั๊กแตนและแมลงต่าง ๆ ซึ่งเป็นศัตรูของพืช
เหตุ ที่คนกลัวนกเค้าแมว นกฮูก หรือนกแสกซึ่งเป็นนกในวงศ์เดียวกันนี้ ก็เพราะนกเหล่านี้ออกหากินในเวลากลางคืน โดยเฉพาะนกเค้าแมวที่เราเรียกกันว่านกแสกนั้น เมื่อเอาไฟส่องดูมันในเวลากลางคืนจะเห็นวงหน้าน่ากลัวคล้ายหน้าปิศาจที่ เดียว
ประเทศไทยมีนกตระกูลเค้าอยู่ ๑๙ ชนิด คือ
๑. นกแสก
๒. นกแสกแดง
๓. นกเค้าเหยี่ยว
๔. นกเค้าหน้าผากขาว
๕. นกเค้าแดง
๖. นกเค้าภูเขาหูยาว
๗. นกเค้าหูยาวเล็ก
๘. นกเค้ากู่
๙. นกเค้าแคระ
๑๐. นกเค้าโมง
๑๑. นกเค้าจุด
๑๒. นกเค้าป่าหลังจุด
๑๓. นกเค้าป่าสีน้ำตาล
๑๔. นกเค้าแมวหูสั้น
๑๕. นกเค้าใหญ่พันธุ์เนปาล
๑๖. นกเค้าใหญ่พันธุ์สุมาตรา
๑๗. นกเค้าใหญ่สีคล้ำ
๑๘. นกทึดทือพันธุ์เหนือ
๑๙. นกทึดทือมลายู
นกเหล่านี้แม้จะมีชื่อเรียกต่าง ๆ กัน แต่รูปร่างหน้าตาของมันเมื่อดูผิวเผินจะเหมือนกันทั้งสิ้น
ภาพจาก อินเทอร์เน็ต ข้อมูลโดย จากหนังสือ ๑๐๘ ซองคำถาม สำนักพิมพ์สารคดีจาก http://www.thailantern.com
วันอาทิตย์ที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2556
สาววิศวฯ ม.ศิลปากร ใจบุญหิ้วกล่องยาดูแลสุนัขจรจัดป่วยใกล้ตาย
มายด์ รุ่นพี่ปี 4 คณะวิศวกรรมศาสตร์ ม.ศิลปากร วิทยาเขตพระราชวังสนามจันทร์ (ทับแก้ว) สาวใจบุญรักสัตว์ ดูแล “บิ๊ก” สุนัขวัย 10 ปี ป่วยโรคไต ใช้เวลาหลังเลิกเรียนหิ้วกล่องยาดูแล ให้น้ำเกลือทุกวัน | ||||
| ||||
“ตอนนั้นสงสัยว่า ทำไมสุนัขตัวนี้ผอมลงเรื่อยๆ เหลือแต่หนังหุ้มกระดูก สายตาของมันดูเศร้าๆมาก มายด์เลยไปซื้อไส้กรอกให้กิน แต่มันก็ไม่ยอมกินเลย มายด์คิดว่าต้องเป็นอะไรแน่ๆ ถ้าเราไม่ช่วยอีกไม่นานก็คงต้องตาย จึงตัดสินใจโทรไปถามแล้วเล่าอาการที่เห็นให้พี่ที่ช่วยเหลือหมาจรจัดเหมือนกันกับเรามาตลอด พี่เค้าเลยบอกน่าจะเป็นพยาธิเม็ดเลือดหรือโรคไต ให้พาไปเจาะเลือด เดี๋ยวจะช่วยออกค่าเจาะเลือดให้” | ||||
เพื่อซื้อยาและอุปกรณ์รักษาสัตว์ เพื่อคอยดูแลบิ๊กและสุนัขบางตัวที่บาดเจ็บมีแผล “ในกล่องยาก็จะมี น้ำเกลือประมาณ 2 ขวดที่เป็นของบิ๊ก มีสำลี แอลกอฮอล์ล้างแผล เบตาดีนใส่แผล พกเอาไว้เวลาเจอ สุนัขที่มีแผลตามตัว บางตัวเป็นขี้เรื้อนก็จะมายามาทาให้ จริงๆ มายด์เรียนวิศวฯ นะ ไม่ได้เรียนสัตวแพทย์ แต่พอจะทำได้ ก็รักษาแผล ใส่ยา เท่านั้น ส่วนรายล่าสุด อย่างบิ๊ก ต้องให้น้ำเกลือ ต้องใช้เข็ม ถือว่า เป็นครั้งแรกที่ใช้เข็มให้น้ำเกลือ พยายามหาข้อมูลในเว็บไซต์เหมือนทุกครั้ง ต้องให้บริเวณไหน ต้องใช้เข็มยังไง กลัวนะ แต่ก็บอกบิ๊กว่า อย่ากัดนะ มาช่วยนะ พอให้น้ำเกลือได้แล้ว จากนั้นหลัง เลิกเรียนก็ไปคณะวิทยาศาสตร์แทบทุกวัน วันไหนไม่ว่างติดเรียนหรือต้องทำงาน ก็จะฝากยาไว้กับ ร้านค้าใต้ตึก ฝากแม่ค้าหรือไม่ก็ยามหน้าตึกช่วยจับบิ๊กกินยา" | ||||
ตัวสุนัข มายด์ตอบว่า ไม่รังเกียจ เปื้อนก็ซักใหม่ได้ แต่ถ้าซักไม่ออกก็ไม่เป็นไร เพราะรอยเปื้อนนี้มาจาก การช่วยเหลือสัตว์ที่บาดเจ็บ “สุนัขบางตัวก็คงไม่อยากสกปรกหรือเป็นโรคให้คนรังเกียจหรือ ไล่ไปไกลๆหรอก แต่เค้าเลือกเกิดหรือว่าจะอยู่ที่ไหนไม่ได้หรอก สุนัขทุกตัวก็มีความรู้สึกเหมือน คนที่อยากมีคนรัก อยากมีบ้านและอยากมีคนดูแลเหมือนคนในครอบครัว วันนี้เราช่วยได้เราก็ อยากช่วยให้เต็มที่” | ||||
มายด์ บอกอีกว่าตอนนี้ปิดเทอมแล้วก็คงต้องกลับบ้าน กลัวไม่มีใครคอยให้อาหาร ให้ยา และให้ น้ำเกลือบิ๊กเหมือนกันทุกวัน และถ้าไม่ได้กินยา ให้น้ำเกลือ ก็กลัวว่าค่าไตจะเพิ่มขึ้น อาการจะทรุดลงอีก และอีกอย่างกลัวมีคนมาจับสุนัขในมหาวิทยาลัยไปปล่อยที่อื่น แล้วก็ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่หรือเปล่า จึง อยากช่วยบิ๊กให้ดี “ก่อนหน้านี้ได้เอาเรื่องของบิ๊กไปแชร์ลงในเฟสบุ๊ก มีเพื่อนที่รู้จักช่วยกันแชร์ มีคนใจบุญบริจาคเงิน ช่วยบิ๊ก ทั้งค่ายาและค่าน้ำเกลือ จนกระทั่งตอนนี้บิ๊กไปฝากไว้ที่รพ.สัตว์ราชมรรคา นครปฐม อาการของ บิ๊กดีขึ้นเรื่อยๆจากตอนเเรกน้ำหนักประมาณ15 กิโลกรัม ตอนนี้ 16.6 กิโลกรัม บิ๊กต้องให้ปริมาณยาเพิ่มขึ้น เพราะน้ำหนักเพิ่มเเละต้องเพิ่มตัวยาบางตัวเเละให้น้ำเกลือทุกวันๆละประมาณ500mL" สำหรับการรักษาบิ๊ก สุนัขจรจัดตัวนี้ ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตเธอ เพราะต้องดูแลเป็น พิเศษกว่าสุนัขทุกตัวที่ผ่านมา โดยเฉพาะช่วงปิดเทอม มายด์เป็นห่วงบิ๊กเป็นพิเศษ พอมีเวลาจะขับรถจาก สมุทรสาครมาดูบิ๊กที่โรงพยาบาล เธอบอกกับเราว่า บิ๊กจะต้องอยู่ที่โรงพยาบาลนานประมาณ 1 เดือน หลังจากเปิดเทอมถึงจะกลับมาและให้น้ำเกลือด้วยตัวเองเหมือนเดิมที่คณะวิทยาศาสตร์ ซึ่งยอมรับว่า ค่าใช้จ่ายและค่ายา สูงมากพอสมควร ซึ่งส่วนเงินที่ได้บริจาคมายด์จะถ่ายใบเสร็จค่ารักษาและค่ายา ทุกครั้งลงไว้ในเฟสบุ๊ก เพราะกลัวว่า ใครจะเข้าใจผิดและคิดว่าเธอจะนำเงินบริจาคไปใช้อย่างอื่น มายด์บอกว่า สิ่งที่ทำนั้นคือ ความสบายใจ ไม่ว่าจะเป็นเอาอาหารไปให้สุนัขจรจัด หรือ ทำแผลให้ กับสัตว์ที่บาดเจ็บก็ตาม แค่พวกเค้ามีความ สุข ไม่หิว ไม่ต้องทรมาน ถึงแม้มันจะแค่อาหารมื้อเดียว หรือ แผลแค่เล็กน้อยที่เราพอจะทำได้ “สุนัขไม่สามารถร้องขอความช่วยเหลือได้เหมือนคน ต่อให้เค้า เจ็บมากแค่ไหน ไม่ว่าจะเป็นนก สุนัข แมว หรือสัตว์อื่นๆ ถ้าเราเป็นคนที่เห็นแล้วพอที่จะช่วยเหลือ ได้เราก็ควรที่จะลงมือช่วยก่อน ถ้ามันรอแต่คนอื่นช่วยมันไม่มีที่สิ้นสุด เดี๋ยวก็เกี่ยงกันไปมา หรือไม่ก็มีคนคิดว่า เดี๋ยวก็คงจะมีคนอื่นมาช่วย ช่างมันเถอะ สุดท้ายก็ไม่มีใครช่วย แล้วสัตว์ ที่บาดเจ็บก็คงจะหนักขึ้นเรื่อยๆจนในที่สุดอาจจะทรมานจนตายก็ได้ แต่ถ้าเราสามารถ ช่วยเหลือเค้าได้ก่อน เค้าจะไม่ทรมานและอาการไม่หนักขึ้นเรื่อยๆ แค่ 1 วินาที พวกเค้าจะมี ชีวิตอยู่หรือตายก็ได้ไม่มีใครรู้แต่ถ้าเราช่วยพวกเค้าเต็มที่แล้วไม่ว่าผลมันจะเป็นยังไงเราจะ ได้ไม่เสียใจทีหลัง” | ||||
แค่นี้มันก็ไม่ได้แก้ปัญหาที่เกี่ยวกับสัตว์ไร้ที่อยู่ได้หรอกมันไม่มีอะไรเปลี่ยนไปแต่ชีวิตของสัตว์ที่คุณ ช่วยมันจะเปลี่ยนให้ดีขึ้น ซึ่งสุนัขก็ไม่ต่างจากเราทุกๆคนนั้นแหละ แค่สัตว์พูดไม่ได้ แต่หิวเป็น เจ็บเป็น อยากมีบ้าน มีครอบครัวที่อบอุ่นคอยดูแลยามเจ็บป่วย อยากมีข้าวกินทุกวันจะได้ไม่ทรมานอดมื้อกินมื้อ ถ้าเจอสัตว์บาดเจ็บหันกลับมาช่วยพวกเค้าหน่อย เพราะพวกเค้าต้องการความช่วยเหลือแต่บอกไม่ได้ อาหารขอให้พวกเค้าได้กินบ้าง บางตัวอาจจะต้องดูแลลูกๆด้วย ลูกๆอาจจะอดตายได้ ตากแดดจาก ฝนทุกวัน อย่าทำร้ายพวกเค้าเลยแค่นี้มันก็ทรมานมากพอแล้ว” ท้ายนี้ Life On Campus ขอชื่นชมน้ำใจของสาววิศวฯ ม.ศิลปากรคนนี้ เธอไม่มีความรู้ ด้านการรักษาสัตว์แต่อย่างใด แถมยังเรียนคณะวิศวฯ ที่ต้องคำนวณสูตร และประมวลผลมากมาย แต่เธอรู้จักเลือกที่ใช้เวลาว่างหลังเลิกเรียน ศึกษาอุปกรณ์การแพทย์ที่ใช้รักษาสัตว์ วิธีบรรเทา อาการเจ็บป่วยของสุนัข รวมไปถึงยาชนิดอื่นๆไม่ต่างจากเด็กนักศึกษาคณะสัตวแพทย์ ทุกวันนี้สาววิศวฯ คนนี้ยังเดินหิ้วกล่องยา ภายในบรรจุน้ำเกลือ แอลกอฮอล์ สำลี ยาใส่แผลสด และยาอื่นๆ เพื่อรักษาสุนัขที่เจ็บป่วยในมหาวิทยาลัย ทั้งนี้ หากใครผู้มีจิตศรัทธาต้องการ บริจาคทุนทรัพย์เพื่อช่วยเหลือ “บิ๊ก” สุนัขป่วยโรคไต สามารถบริจาคได้ที่ เลขที่บัญชี 537 2098 599 ชื่อ จุฑาโชติพัทธ อู่สิริมณีชัย ธนาคารทหารไทย ภาพและข้อมูลจาก http://www.manager.co.th/ ณ วันที่ 13 ตุลาคม 2556 |
วันเสาร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2556
สุนัขเดินทาง 500 ไมล์กลับมาหาเจ้าของ
บัคกับเจ้าของ
เพราะเจ้าของอยู่ในช่วงกำลังขยับขยายที่อยู่ และต่อมาบัคได้หายออกจากบ้านของพ่อไป
และเข้าใจว่า บัคถูกคนขโมยไป
แต่หกเดือนต่อมาบัคได้กลับมาหาเจ้าของที่ Myrtle Beach, South Carolina
ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านพ่อใน Virginiaประมาณ 500 ไมล์ เป็นอันสรปได้ว่าบัคได้หนีออกจากบ้านพ่อ
ของเจ้าของเองเพื่อกลับมาหาเจ้าของของมัน
โชคดีนะที่เจ้าของไม่ย้ายบ้านไปอยู่ที่อื่น ไม่ง้ันเป็นเรื่องเศร้าแน่เลยนะ...บัค
อ่านเพิ่มเติม
วันเสาร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2556
อาหารอันตราย 20 ชนิด ที่ไม่ควรให้สุนัขกินโดยเด็ดขาด
เมื่อสุนัขได้กลิ่นหอม ๆ ของอาหารจากห้องครัวทีไรเป็นต้องวิ่งเข้าหาทุกครั้ง และเชื่อว่าเจ้าของทุกคน หากได้หันไปเห็นดวงตากลม ๆ ส่งสัญญาณอ้อนวอนมาเมื่อไหร่ ย่อมต้องใจอ่อน ยอมแบ่งอาหารให้ตลอด โดยไม่รู้เลยว่า ตัวเองกำลังทำร้ายสุนัขทางอ้อม เพราะอาหารบางชนิดถึงแม้จะมีประโยชน์กับคน แต่อาจทำให้เกิดโทษกับสุนัขได้ โดยเฉพาะอาหารชนิดต่าง ๆ ที่www.risingwoods.org ได้เตือนไว้เหล่านี้
1. เครื่องดื่มแอลกอฮอล์
เชื่อว่าหลายคนคงนึกสนุกที่รินเครื่องดื่มซึ่งมีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ให้สุนัขดื่ม เพราะความอยากรู้อยากเห็นหรือความสนุกสนานของตัวเอง แต่หารู้ไม่ว่า เครื่องดื่มแอลกอฮอล์สามารถทำให้สุนัขช็อก และอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้
2. อาหารเด็ก
จริงอยู่ที่อาหารเด็กละเอียดกินง่าย และน่าจะช่วยให้ขับถ่ายสะดวก แต่อย่าลืมว่าในอาหารเด็กบางยี่ห้อมีผงหัวหอมผสมอยู่ หากส่วนผสมดังกล่าวเข้าสู่ร่างกายสุนัข ก็อาจทำให้สุนัขตัวดังกล่าว เกิดอาการอ่อนเพลีย เซื่องซึม และหัวใจเต้นเร็ว เพราะเซลล์เม็ดเลือดแดงถูกทำลาย
3. อาหารแมว
สำหรับคนที่เลี้ยงแมวกับสุนัขไว้ด้วยกัน ควรจะแบ่งแยกประเภทอาหารระหว่างสัตว์เลี้ยง ทั้ง 2 ชนิด ให้ชัดเจน เพราะอาหารแมวมีปริมาณของโปรตีนและไขมันมากกว่าที่ร่างกายของสุนัขต้องการ
4. ช็อกโกแลต
เนื่องจากในช็อกโกแลตมีสารที่เรียกว่า Theobromine หากสุนัขกินเข้าไปก็จะส่งผลให้สุนัขมีอาการกล้ามเนื้อเกร็ง หัวใจเต้นแรง ถ่ายบ่อย และอาจมีอาการหัวใจวาย ที่มีอาการคล้าย ๆ กับการดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของคาเฟอีน อย่างเช่น ชา และกาแฟ เป็นต้น
5. องุ่นหรือลูกเกด
สำหรับอาหารว่างที่แสนอร่อยของใครหลายคนชนิดนี้ อย่าเผลอหยิบยื่นให้กับสุนัขเป็นอันขาด เพราะเป็นอันตรายกับไตอย่างมาก และแม้จะเป็นเนื้อองุ่นเพียงนิดเดียว ก็สามารถทำให้เกิดอาหารไตวายเฉียบพลันได้
6. ถั่วแม็คคาเดเมีย
จริงอยู่ที่ถั่วแม็คคาเดเมียมีประโยชน์กับร่างกายของคุณ แต่สำหรับสุนัขแล้ว ถั่วดังกล่าวกลับให้โทษมหันต์ เพราะนอกจากจะทำลายระบบย่อยอาหารกับระบบประสาท สารในถั่วยังลดประสิทธิภาพในการทำงานกล้ามเนื้อด้วย
7. วิตามินบำรุงร่างกาย
ถึงแม้จะได้ชื่อว่า วิตามินบำรุงร่างกาย แต่หากไม่ได้ระบุอย่างชัดเจนว่า เป็นวิตามินสำหรับสุนัข ก็ไม่ควรให้กินโดยเด็ดขาด เพราะวิตามินเหล่านั้น อาจกลายเป็นสารพิษทำลายระบบย่อยอาหาร ตับ และไต แทน
8. ผลิตภัณฑ์จากนมวัว
ไม่ว่าจะเป็นนม ชีส หรืออาหารอะไรก็ตามแต่ที่ทำจากนมวัวต่างก็ไม่ดีกับสุนัขด้วยกันทั้งนั้น เนื่องจากสุนัขไม่มีเอนไซม์ย่อยสารแลคโทสในน้ำนมนั่นเอง ดังนั้นการกินผลิตภัณฑ์จากนมวัว อาจส่งผลให้เกิดอาการอื่น ๆ ตามมา อย่างเช่น ท้องเสีย อาเจียน และเซื่องซึม หากคุณจำเป็นจะต้องให้สุนัขดื่มนมจริง ๆ ควรเลือกนมที่มีข้อความกำกับบนฉลากว่า ไม่มีแลคโทส จะดีที่สุด
9. อาหารบูดหรือของเน่าเสีย
สำหรับเจ้าของที่เห็นว่าอาหารขึ้นรา บูด หรือเน่าเสียและกำลังจะนำไปให้สุนัขกินละก็ แนะนำว่าควรนำไปทิ้งดีกว่า หากไม่อยากเห็นสุนัขของคุณท้องเสีย หรืออาเจียน หรือทุกข์ทนมานจากอาการข้างเคียง
10. เห็ด
เห็ด นอกจากจะทำให้อาหารในกระเพาะไม่ย่อยแล้ว ยังส่งผลเสียต่ออวัยวะในระบบขับถ่ายอื่น ๆ อีกด้วย โดยเฉพาะตับและไต นอกจากนี้หากคุณให้สุนัขกินเห็ด สุนัขก็จะเคยชินกับกลิ่นของเห็ด และหากสุนัขได้กลิ่นเห็ดเมื่อออกนอกบ้าน มันก็อาจเผลอกินเห็ดมีพิษได้
11. ลูกพลัม
เมล็ดของลูกพลัมมีผลทำให้เกิดอาการคล้าย ๆ กับถั่วแม็คคาเดเมีย กล่าวคือ สารในเมล็ดของลูกพลัมเข้าไปขัดขวางการทำงานของลำไส้ และส่งผลให้เกิดโรคลำไส้อักเสบในสุนัขได้
12. มันฝรั่งและมะเขือเทศ
ผักทั้ง 2 ชนิดนี้ มีส่วนประกอบของสารออกซาเลต สารที่จะทำให้ระบบย่อยอาหาร ระบบประสาท และระบบขับถ่ายทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ แถมยังเป็นสาเหตุของโรคตับด้วย
13. ไข่ดิบ
ในไข่ดิบมีเอนไซม์อะวิดินเจือปนอยู่ ซึ่งเอนไซม์ดังกล่าวลดประสิทธิภาพการดูดซับสารไบโอตินในอาหาร สารจำเป็นต่อผิวหนังและขนของสุนัข และเป็นผลให้เกิดอาการขนหลุดร่วง เจริญเติบโตช้ากว่าปกติ และมีปัญหาเรื่องกระดูกตามมา
14. ปลาดิบ
สารในปลาดิบเป็นต้นเหตุทำให้สุนัขเกิดอาการเบื่ออาหาร ช็อกหมดสติ จนถึงขั้นเสียชีวิต นอกจากนี้ ยังทำให้เกิดขาดวิตามินบี 1 หรือ Thiamine สารสำคัญที่มีความจำเป็นต่อการเจริญเติบโตด้วย
15. เกลือ
จริง ๆ แล้วสุนัขสามารถกินเกลือได้ เพียงแต่เจ้าของควรให้ในปริมาณที่พอดีกับที่ร่างกายของสุนัขต้องการ เพราะถ้าหากสุนัขกินเกลือมากจนเกินความจำเป็นก็จะส่งผลเสียกับไต เพราะอิเล็คโทรไลต์หรือสารเกลือแร่ไม่สมดุล
16. ขนมหวาน
ถึงแม้สุนัขของคุณจะบอกว่าอยากกินขนมในมือคุณมากสักเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ควรเผลอใจหยิบให้สุนัขกินเด็ดขาด เพราะน้ำตาลในขนม รวมไปถึงสารให้ความหวานในหมากฝรั่ง เป็นที่มาทั้งโรคอ้วน เบาหวาน แถมยังทำให้เกิดโรคฟันผุด้วย
17. บุหรี่
หลายคนอาจจะหัวเราะสนุกสนานเวลาที่เห็นภาพสุนัขคาบบุหรี่ไว้ในปาก แต่เชื่อเถอะว่าสุนัขของคุณไม่ได้รู้สึกเช่นนั้นแน่ ๆ เพราะนิโคตินในบุหรี่เป็นสาเหตุให้หัวใจเต้นแรง และช็อกได้
18. ยีสต์
ยีสต์ที่อยู่ในอาหารหรือขนมต่าง ๆ ทำให้เกิดลมในกระเพาะอาหาร ซึ่งอาจเป็นเหตุให้กระเพาะอาหารเป็นแผล รวมไปถึงลำไส้ และอวัยวะอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับระบบย่อยอาหาร
19. กระดูก
กระดูกที่คุณเห็นว่าสุนัขชอบแทะนั้น จริง ๆ แล้วก็มีอันตรายซ่อนอยู่เหมือนกัน เพราะหากสุนัขเคี้ยวไม่ละเอียดก็อาจจะทำร้ายอวัยวะต่าง ๆ ในระบบย่อยอาหารกับระบบทางเดินหายใจได้
20. เนื้อหมู
อย่างที่รู้กันดีว่าเนื้อหมูมีไขมันค่อนข้างเยอะ ซึ่งมีปริมาณมากกว่าที่ร่างกายของสุนัขต้องการ และถ้ากินมากเกินไปอาจทำให้เกิดไขมันอุดตันในเส้นเลือด หากเป็นไปได้ควรหลีกเลี่ยงไว้ก่อนจะดีกว่า
คราวนี้เจ้าของหลายคนคงทราบกันแล้วว่า มีอาหารประเภทใดบ้าง ที่เป็นอันตรายกับสุนัขของคุณ ดังนั้นต่อไปนี้อย่าลืมตัว เผลอหยิบอาหารอันตราย ทั้ง 20 ชนิด ดังกล่าว ให้สุนัขกินอีกนะคะ ไม่อย่างนั้นคุณอาจต้องสูญเสียสุนัขที่คุณรักโดยไม่ทันคาดคิด
ภาพและข้อมูลจาก http://pet.kapook.com
1. เครื่องดื่มแอลกอฮอล์
เชื่อว่าหลายคนคงนึกสนุกที่รินเครื่องดื่มซึ่งมีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ให้สุนัขดื่ม เพราะความอยากรู้อยากเห็นหรือความสนุกสนานของตัวเอง แต่หารู้ไม่ว่า เครื่องดื่มแอลกอฮอล์สามารถทำให้สุนัขช็อก และอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้
2. อาหารเด็ก
จริงอยู่ที่อาหารเด็กละเอียดกินง่าย และน่าจะช่วยให้ขับถ่ายสะดวก แต่อย่าลืมว่าในอาหารเด็กบางยี่ห้อมีผงหัวหอมผสมอยู่ หากส่วนผสมดังกล่าวเข้าสู่ร่างกายสุนัข ก็อาจทำให้สุนัขตัวดังกล่าว เกิดอาการอ่อนเพลีย เซื่องซึม และหัวใจเต้นเร็ว เพราะเซลล์เม็ดเลือดแดงถูกทำลาย
3. อาหารแมว
สำหรับคนที่เลี้ยงแมวกับสุนัขไว้ด้วยกัน ควรจะแบ่งแยกประเภทอาหารระหว่างสัตว์เลี้ยง ทั้ง 2 ชนิด ให้ชัดเจน เพราะอาหารแมวมีปริมาณของโปรตีนและไขมันมากกว่าที่ร่างกายของสุนัขต้องการ
4. ช็อกโกแลต
เนื่องจากในช็อกโกแลตมีสารที่เรียกว่า Theobromine หากสุนัขกินเข้าไปก็จะส่งผลให้สุนัขมีอาการกล้ามเนื้อเกร็ง หัวใจเต้นแรง ถ่ายบ่อย และอาจมีอาการหัวใจวาย ที่มีอาการคล้าย ๆ กับการดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของคาเฟอีน อย่างเช่น ชา และกาแฟ เป็นต้น
5. องุ่นหรือลูกเกด
สำหรับอาหารว่างที่แสนอร่อยของใครหลายคนชนิดนี้ อย่าเผลอหยิบยื่นให้กับสุนัขเป็นอันขาด เพราะเป็นอันตรายกับไตอย่างมาก และแม้จะเป็นเนื้อองุ่นเพียงนิดเดียว ก็สามารถทำให้เกิดอาหารไตวายเฉียบพลันได้
6. ถั่วแม็คคาเดเมีย
จริงอยู่ที่ถั่วแม็คคาเดเมียมีประโยชน์กับร่างกายของคุณ แต่สำหรับสุนัขแล้ว ถั่วดังกล่าวกลับให้โทษมหันต์ เพราะนอกจากจะทำลายระบบย่อยอาหารกับระบบประสาท สารในถั่วยังลดประสิทธิภาพในการทำงานกล้ามเนื้อด้วย
7. วิตามินบำรุงร่างกาย
ถึงแม้จะได้ชื่อว่า วิตามินบำรุงร่างกาย แต่หากไม่ได้ระบุอย่างชัดเจนว่า เป็นวิตามินสำหรับสุนัข ก็ไม่ควรให้กินโดยเด็ดขาด เพราะวิตามินเหล่านั้น อาจกลายเป็นสารพิษทำลายระบบย่อยอาหาร ตับ และไต แทน
8. ผลิตภัณฑ์จากนมวัว
ไม่ว่าจะเป็นนม ชีส หรืออาหารอะไรก็ตามแต่ที่ทำจากนมวัวต่างก็ไม่ดีกับสุนัขด้วยกันทั้งนั้น เนื่องจากสุนัขไม่มีเอนไซม์ย่อยสารแลคโทสในน้ำนมนั่นเอง ดังนั้นการกินผลิตภัณฑ์จากนมวัว อาจส่งผลให้เกิดอาการอื่น ๆ ตามมา อย่างเช่น ท้องเสีย อาเจียน และเซื่องซึม หากคุณจำเป็นจะต้องให้สุนัขดื่มนมจริง ๆ ควรเลือกนมที่มีข้อความกำกับบนฉลากว่า ไม่มีแลคโทส จะดีที่สุด
9. อาหารบูดหรือของเน่าเสีย
สำหรับเจ้าของที่เห็นว่าอาหารขึ้นรา บูด หรือเน่าเสียและกำลังจะนำไปให้สุนัขกินละก็ แนะนำว่าควรนำไปทิ้งดีกว่า หากไม่อยากเห็นสุนัขของคุณท้องเสีย หรืออาเจียน หรือทุกข์ทนมานจากอาการข้างเคียง
10. เห็ด
เห็ด นอกจากจะทำให้อาหารในกระเพาะไม่ย่อยแล้ว ยังส่งผลเสียต่ออวัยวะในระบบขับถ่ายอื่น ๆ อีกด้วย โดยเฉพาะตับและไต นอกจากนี้หากคุณให้สุนัขกินเห็ด สุนัขก็จะเคยชินกับกลิ่นของเห็ด และหากสุนัขได้กลิ่นเห็ดเมื่อออกนอกบ้าน มันก็อาจเผลอกินเห็ดมีพิษได้
11. ลูกพลัม
เมล็ดของลูกพลัมมีผลทำให้เกิดอาการคล้าย ๆ กับถั่วแม็คคาเดเมีย กล่าวคือ สารในเมล็ดของลูกพลัมเข้าไปขัดขวางการทำงานของลำไส้ และส่งผลให้เกิดโรคลำไส้อักเสบในสุนัขได้
12. มันฝรั่งและมะเขือเทศ
ผักทั้ง 2 ชนิดนี้ มีส่วนประกอบของสารออกซาเลต สารที่จะทำให้ระบบย่อยอาหาร ระบบประสาท และระบบขับถ่ายทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ แถมยังเป็นสาเหตุของโรคตับด้วย
13. ไข่ดิบ
ในไข่ดิบมีเอนไซม์อะวิดินเจือปนอยู่ ซึ่งเอนไซม์ดังกล่าวลดประสิทธิภาพการดูดซับสารไบโอตินในอาหาร สารจำเป็นต่อผิวหนังและขนของสุนัข และเป็นผลให้เกิดอาการขนหลุดร่วง เจริญเติบโตช้ากว่าปกติ และมีปัญหาเรื่องกระดูกตามมา
14. ปลาดิบ
สารในปลาดิบเป็นต้นเหตุทำให้สุนัขเกิดอาการเบื่ออาหาร ช็อกหมดสติ จนถึงขั้นเสียชีวิต นอกจากนี้ ยังทำให้เกิดขาดวิตามินบี 1 หรือ Thiamine สารสำคัญที่มีความจำเป็นต่อการเจริญเติบโตด้วย
15. เกลือ
จริง ๆ แล้วสุนัขสามารถกินเกลือได้ เพียงแต่เจ้าของควรให้ในปริมาณที่พอดีกับที่ร่างกายของสุนัขต้องการ เพราะถ้าหากสุนัขกินเกลือมากจนเกินความจำเป็นก็จะส่งผลเสียกับไต เพราะอิเล็คโทรไลต์หรือสารเกลือแร่ไม่สมดุล
16. ขนมหวาน
ถึงแม้สุนัขของคุณจะบอกว่าอยากกินขนมในมือคุณมากสักเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ควรเผลอใจหยิบให้สุนัขกินเด็ดขาด เพราะน้ำตาลในขนม รวมไปถึงสารให้ความหวานในหมากฝรั่ง เป็นที่มาทั้งโรคอ้วน เบาหวาน แถมยังทำให้เกิดโรคฟันผุด้วย
17. บุหรี่
หลายคนอาจจะหัวเราะสนุกสนานเวลาที่เห็นภาพสุนัขคาบบุหรี่ไว้ในปาก แต่เชื่อเถอะว่าสุนัขของคุณไม่ได้รู้สึกเช่นนั้นแน่ ๆ เพราะนิโคตินในบุหรี่เป็นสาเหตุให้หัวใจเต้นแรง และช็อกได้
18. ยีสต์
ยีสต์ที่อยู่ในอาหารหรือขนมต่าง ๆ ทำให้เกิดลมในกระเพาะอาหาร ซึ่งอาจเป็นเหตุให้กระเพาะอาหารเป็นแผล รวมไปถึงลำไส้ และอวัยวะอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับระบบย่อยอาหาร
19. กระดูก
กระดูกที่คุณเห็นว่าสุนัขชอบแทะนั้น จริง ๆ แล้วก็มีอันตรายซ่อนอยู่เหมือนกัน เพราะหากสุนัขเคี้ยวไม่ละเอียดก็อาจจะทำร้ายอวัยวะต่าง ๆ ในระบบย่อยอาหารกับระบบทางเดินหายใจได้
20. เนื้อหมู
อย่างที่รู้กันดีว่าเนื้อหมูมีไขมันค่อนข้างเยอะ ซึ่งมีปริมาณมากกว่าที่ร่างกายของสุนัขต้องการ และถ้ากินมากเกินไปอาจทำให้เกิดไขมันอุดตันในเส้นเลือด หากเป็นไปได้ควรหลีกเลี่ยงไว้ก่อนจะดีกว่า
คราวนี้เจ้าของหลายคนคงทราบกันแล้วว่า มีอาหารประเภทใดบ้าง ที่เป็นอันตรายกับสุนัขของคุณ ดังนั้นต่อไปนี้อย่าลืมตัว เผลอหยิบอาหารอันตราย ทั้ง 20 ชนิด ดังกล่าว ให้สุนัขกินอีกนะคะ ไม่อย่างนั้นคุณอาจต้องสูญเสียสุนัขที่คุณรักโดยไม่ทันคาดคิด
ภาพและข้อมูลจาก http://pet.kapook.com
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)